-
ไทยแลนด์โฟโต้ทัวร์ ใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/08113
-
ส่งอีเมล์หาเราได้ที่ sale@thailand-photo-tours.com
-
ติดตามข้อมูลข่าวสารทาง line ได้ที่ @thailandphototours
ไอซ์แลนด์ ซัมเมอร์
วันที่ 14 - 30 กรกฎาคม 2566 ( 17 วัน ) เต็ม
ชมทิวทัศน์สุดอลังการที่สุดบนโลกใบนี้ เจาะลึกไอซ์แลนด์เที่ยวครบทั่วประเทศทุกภูมิภาคในทริปเดียว เยือนเวสต์ฟยอร์ด ชมนักพัฟฟินแสนน่ารัก ล่องเรือชมวาฬ ขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็ง ล่องเรือในทะเลสาบน้ำแข็ง และอื่นๆ อีกมากมาย นำทริปและถ่ายภาพให้สมาชิกโดยอาจารย์ประสิทธิ์ จันเสรีกร
เดินทางท่องเที่ยวกับเรา ได้ภาพสวยแน่นอน
ท่านละ 238,000 บาท

สัมผัสสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ทัวร์ประเทศไอซ์แลนด์ ซัมเมอร์ วนรอบประเทศกว่า 1,300 กิโลเมตร อากาศเย็นสบาย ชมสุดยอดทิวทัศน์อันน่ามหัศจรรย์และหลากหลายของไอซ์แลนด์ อาทิ น้ำตกขนาดใหญ่ตระการตา ธารน้ำแข็งโบราณ หาดทรายดำ และ ธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ทั่วทั้งประเทศเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง ทุ่งดอกลูปินสีม่วงนับแสนไร่ พร้อมด้วยกิจกรรมขี่สโนว์โมบิล ล่องเรือชมวาฬ แช่น้ำแร่บลูลากูน นำทริปโดยอาจารย์ประสิทธิ์ จันเสรีกร ผู้มีประสบการณ์ถ่ายภาพและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์มาแล้วทั่วประเทศ ในทุกฤดูกาล



พาหนะการเดินทาง : แวน Ford Transit 17 ที่นั่ง
จำนวนสมาชิก : 12 ท่าน
ค่าใช้จ่าย : ท่านละ 238,000 บาท ( โปรดอ่านรายละเอียดรายการที่ไม่รวมในค่าทริป )
การจองทริป : โอนมัดจำ 70,000 บาท
ส่วนที่เหลือ ชำระภายในวันที่ 10 เมษายน 2566
การยกเลิกทริป
แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 90 วัน คืนมัดจำ 100%
แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 60-89 วัน หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 30-59 วัน หักค่าใช้จ่าย 50%
แจ้งยกเลิกน้อยกว่า 30 วัน ไม่คืนเงินทุกกรณี
ยื่นวีซ่าไอซ์แลนด์ : ทีมงานจะนัดหมายยื่นวีซ่าเดือนมีนาคม 2566 ( ใช้เวลาในการขอวีซ่าประมาณ 60 วัน ) ระหว่างการขอวีซ่าไม่สามารถขอเล่ม passport จากสถานฑูตมาใช้ได้จนกว่าจะได้รับวีซ่า
โปรดทราบ :
ทริปนี้เดินทางกลุ่มเล็ก โดยใช้รถแวน ผู้นำทริป 1 ท่าน พร้อมทีมงาน จะเป็นผู้ขับรถนำเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ตามโปรแกรม ทำให้สะดวกสามารถจอดรถถ่ายภาพวิวได้ทุกสถานที่ เนื่องจากไอซ์แลนด์มีภูมิประเทศ และทิวทัศน์ที่งดงาม ซึ่งจะได้พบเห็นตลอดการเดินทาง
ค่าใช้จ่ายรวม
-
ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพฯ - เรคยาวิก ชั้นประหยัด
-
ค่าที่พักตามโปรแกรม
-
ค่าอาหารเช้าที่โรงแรมทุกมื้อ ( ไม่รวม ค่าอาหารกลางวันและอาหารค่ำ )
-
ค่าวีซ่าไอซ์แลนด์
-
ค่าประกันเดินทางคุ้มครองสูงสุด 3,000,000 บาท
-
ค่ารถมินิบัส 17 ที่นั่ง นำเที่ยวตามโปรแกรม
-
ค่าบัตรท่องเที่ยวและแช่สปาน้ำร้อนที่บลู ลากูน
-
ค่าล่องเรือชมวาฬ
-
ค่ากิจกรรมขี่สโนว์โมบิล
-
ค่ากิจกรรมล่องชมก้อนน้ำแข็งไอซ์เบิร์ก ที่กลาเซียร์ลากูน
-
ค่าบัตรชมวิวเรกยาวิกมุมสูงที่โบสถ์ฮัลกริมสเคียร์ค่า
-
ค่าบัตรชมถ้ำน้ำแข็งจำลอง
-
ค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งตามที่ระบุในโปรแกรม
-
ค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นการเหมาจ่าย หากท่านยกเลิกโปรแกรมท่องเที่ยวใดๆ จะไม่ได้รับเงินคืน เนื่องจากมีการจ่ายล่วงหน้าไปแล้ว ไม่สามารถรับเงินคืนได้
ค่าใช้จ่ายไม่รวม
1 .ค่าขอวีซ่าไอซ์แลนด์ ผู้ร่วมเดินทางต้องยื่นวีซ่าด้วยตนเองเพื่อสแกนลายนิ้วมือ ( ทีมงานจะจัดเตรียมเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับรายการทัวร์เป็นภาษาอังกฤษและนำไปให้ในวันยื่นวีซ่า )
2. ค่าอาหารกลางวันและอาหารค่ำ
3. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุในโปรแกรม
ข้อควรทราบ
1 ) อุณหภูมิที่ไอซ์แลนด์เดือนกรกฎ-สิงหาคม ประมาณ 5 - 15 องศา ( หากมีลม จะรู้สึกหนาวมากขึ้น )
2) น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง ไม่เกิน 23 กิโลกรัม
3 ) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ISK = 0.30 บาท (โดยประมาณ )
4 ) อาหารกลางวันและอาหารค่ำ ไม่รวมในค่าทริป
5 ) ควรแลกเงินยูโร เพื่อแลกเป็นเงิน ISK ที่สนามบินเรคยาวิก (ไอซ์แลนด์)
6 ) ร้านค้าต่างๆ รับบัตรเครดิตโดยไม่มีขั้นต่ำ
อาหาร
1. อาหารเช้าแบบบุฟเฟห์หรืออาหารชุดที่โรงแรม ( รวมในค่าทริป ) , ที่พักอพาร์ทเม้นท์บางแห่งไม่มีอาหารเช้า
2. อาหารกลางวันและอาหารค่ำ ( ไม่รวมในค่าทริป ) ทีมงานจะนำสมาชิกไปรับประทานตามร้านอาหารระหว่างเส้นทางในเวลากลางวัน ( ค่าอาหารประมาณมื้อละ 500 - 1,500 บาท )
3. สามารถนำอาหารสำเร็จรูปจากเมืองไทยเข้าไอซ์แลนด์ได้ ยกเว้นผลไม้และอาหารสด ( ที่พักบางแห่งเป็นอพาร์ทเม้นท์ มีครัวขนาดเล็กพร้อมอุปกรณ์ครัวในห้อง, กรณีห้องพักแบบอพาร์ทเม้นท์ จะไม่มีบริการอาหารเช้า )
ข้อแนะนำการแต่งตัวและสิ่งของที่ควรเตรียมไป
1. เสื้อผ้ากันหนาว รองรับอุณหภูมิต่ำสุด 5 องศา
2. รองเท้าชนิดกันน้ำ
3. ยาประจำตัว ( ถ้ามี )
กำหนดการ
วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 กรุงเทพฯ - โคเปนเฮเกน
22.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
01.20 น. ออกเดินทางโดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 950
15 กรกฎาคม 2566 เรคยาวิค โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา Solfar เพอร์แลน
07.40 น. เดินทางถึงเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
08.30 น. ออกเดินทางต่อโดยเที่ยวบิน SK 595
09.45 น. เดินทางถึงเรคยาวิก เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก ทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ด้านมุมล่างของอ่าว Faxaflói ซึ่ง Ingolfur Arnarson ชาวนอร์ดิค เป็นผู้อพยพคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329 ปัจจุบันเขตเมืองมีประชากรประมาณ 120,000 คน ประกอบด้วย 7 เทศบาลนครซึ่งรวมเทศบาลนครเรคยาวิก
หลังจากรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเรคยาวิก อิสระอาหารกลางวันย่านใจกลางเมือง มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย
จากนั้นไปชมและถ่ายภาพโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา โบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ สามารถขึ้นลิฟท์โดยสารไปยังชั้นบนสุดเพื่อชมวิวเรคยาวิกได้อย่างชัดเจนในมุมสูง โบสถ์ดังกล่าวมีความสำคัญในฐานะเป็นศาสนสถานที่สำคัญ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ มองจากด้านหน้าตรง ดูคล้ายยานอาวกาศ ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 38 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงปี ค.ศ.1986 ด้านหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์ของเลฟร์ อีริกสัน (Leifr Eiriksson) มือถือขวานและหนังสือ เป็นสัญลักษณ์ของการผจญภัย โดย เลฟร์ เป็นคนแรกที่เดินทางไปแถบอเมริกาเหนือและกรีนแลนด์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกามอบให้แก่ไอซ์แลนด์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 1 พันปี รัฐสภา “Althing”
จุดหมายต่อไปคือ สถาปัตยกรรม Solfar (Sun Voyager) Sculpture ตั้งอยู่ริมอ่าวเรคยาวิก เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเรคยาวิก ต่อด้วย Harpa อาคารสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยกระจก เป็นทั้งหอแสดงคอนเสิร์ต และศูนย์การประชุม มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าสามแสนตารางฟุต จุดเด่นอีกอีกของ Harpa คือกระจกประดับอาคารที่เปลี่ยนสีสันจากแสงไฟราวกับอาคารมีชีวิตเต้นระบำได้ และมีสระน้ำอยู่หน้าอาคาร ถ่ายภาพในมุมมองเงาสะท้อนน้ำได้อย่างสวยงาม
ปิดท้ายที่ เพอร์แลน อยู่ใจกลางเมืองเรคยาวิก ในภาษาไอซ์แลนด์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า The Pearl ที่แปลว่าอ่าว ออกแบบโดยสถาปนิก นายอิงกิมูนดูร์ มี ความสูงเฉพาะตัวอาคารจากพื้นดิน 25.7 เมตร เป็นอาคารขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายลูกโลก ตั้งอยู่บนฐานที่คล้ายถังน้ำขนาดใหญ่ 4 ฐาน มีพื้นที่ ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ภายในมี ร้านอาหาร ร้านไอซ์ครีม ชั้นบนมีจุดชมวิวที่สามารถดินได้รอบเป็นวงกลมคล้ายดาดฟ้าเรือ มองเห็นเมือง เรคยาวิกได้อย่างชัดเจน เพลิดเพลินกับการเดินเที่ยวชมและถ่ายภาพถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าจำลอง ( มีเสื้อแจ๊คเก็ตกันหนาวบริการฟรี )
ค่ำ : อิสระอาหารค่ำที่ถนนสายช้อปปิ้ง Laugavegur มีร้านค้าต่างๆ มากมาย
พักที่โรงแรม Vellir หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )




16 กรกฎาคม 2566 ปล่องภูเขาไฟแฝดแกรบรอค เบอร์การ์เนส น้ำตกฮรวนฟอสส์ แหลมสเนฟเฟลเนส แท่งหินบะซอลต์ เกตเล็ทเทอร์ โบสถ์ดำ อุทยานแห่งชาติสเนฟเฟลเนสโจกุล ภูเขาเคิร์กจูเฟล
หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางขึ้นเหนือไปตามถนนหลวงหมายเลข 1 ที่เป็นถนนหลวงสายหลักเพียงสายเดียวในไอซ์แลนด์ วนรอบประเทศเป็นวงกลม ระยะทางประมาณ 1,300 กิโลเมตร เราจะเดินทางแบบวงกลมตามเข็มนาฬิกา ถนนจะเลียบชายทะเลที่มีทิวทัศน์งดงามตระการตา บางช่วงถนนจะลอดลงสู่ใต้ทะเลยาวหลายกิโลเมตร เส้นทางช่วงนี้จะมองเห็นทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งอย่างสวยงามในฤดูร้อน
จุดหมายแรกของเช้าวันนี้คือ ปล่องภูเขาไฟแฝดแกรบรอค เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว มีทางเดินอย่างดีขึ้นไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟด้านบน สามารถเดินวนรอบปล่องได้ และมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของดินแดนฝั่งตะวันตกจากมุมสูงได้อย่างชัดเจน
จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตกเล็กๆ ที่งดงามมากทีเดียว ชื่อฮรวนฟอสส์ มีสายน้ำที่ไหลออกมาจากหินลาวาทางด้านล่าง และธารน้ำสีฟ้า และยังมีน้ำตกแฝดอยู่ใกล้ๆ กันสามารถเดินผ่านทุ่งลาวาไปชมได้อย่างใกล้ชิด
เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่เมืองเล็กๆ ชื่อเบอร์การ์เนส หากเตรียมอาหารไปเองจะมีโต๊ะปิคนิกให้นั่งทาน
บ่าย ออกเดินทางสู่แหลมสเนฟเฟลเนส ดินแดนที่มีทิวทัศน์อันงดงามอลังการ ตื่นตาตื่นใจกับแท่งหินบะซอลต์ที่ตั้งเรียงกันบนเนินเขาราวกับกำแพง เป็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งบนเส้นทางสายนี้ ระหว่างทางจะเห็นทุ่งลาวากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สลับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีแกะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของไอซ์แลนด์ บางฟาร์มเลี้ยงวัว และม้า
เที่ยวชมโบสถ์ดำ ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่สร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายนอกอาคารทาสีดำสนิท เป็นที่มาของชื่อโบสถ์ดำ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1703 โดยพ่อค้าชาวสวีเดนชื่อว่า Bendt Lauridsen เป็นโบสถ์ที่ได้รับความนิยมมาจัดพิธีแต่งงานมากที่สุดทั้งชาวไอซ์แลนด์และชาวคริสต์จากทั่วโลก
บ่าย เที่ยวชมเมืองประมงเล็กๆ เกตเล็ทเทอร์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ชายฝั่งถูกน้ำกัดเซาะเว้าแหว่งเป็นรูปร่างที่ดูแปลกตา บางแห่งถูกกัดเซาะเป็นรูโพรงขนาดใหญ่เหมือนมีสะพานหินธรรมชาติอยู่ด้านบน ตามหน้าผามีนกทะเลจำนวนอาศัยอยู่ รวมทั้งนกพัฟฟินจำนวนมากก็พบได้ง่ายๆ ในบริเวณนี้ โดยใช้แนวหน้าผาทำรัง วางไข่และเลี้ยงลูก ใกล้ๆ กันมีอนุสาวรีย์ซากา จากเรื่องราวในเทพนิยายเก่าแก่ของไอซ์แลนด์
เมื่อเดินทางถึงปลายแหลม จะพบกับทิวทัศน์หน้าผาที่ถูกน้ำทะเลและคลื่นลมกัดเซาะปรากฏเป็นภูเขาหินและโขดหินที่งดงามแปลกตามากมาย และยังมีปล่องภูเขาไฟอีกหลายลูก บางแห่งสามารถเดินขึ้นไปชมได้ ทั้งนี้แหลมสเนฟเฟลเนสทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของแนวภูเขาไฟที่มีอยู่เกือบทั่วทั้งประเทศไอซ์แลนด์ ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งสเนฟเฟลเนสโจกุล และพื้นที่แถบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติสเนฟเฟลเนสโจกุล ในฤดูร้อนบริษัททัวร์ท้องถิ่นจะจัดกิจกรรมหลายอย่างบนกลาเซียร์ เช่น การปีนภูเขาน้ำแข็ง หรือเดินบนกลาเซียร์ เป็นต้น
เย็นเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ เคิร์กจูเฟล (Kirkjufell) เรียกเป็นภาษาอังกฤษคือ Church Mountain หรือ “ภูเขาโบสถ์” ว่ากันว่ามีที่มาจากรูปร่างของภูเขาซึ่งคล้ายคลึงกับโบสถ์ บ้างก็ว่าคล้ายหมวกของแม่มด หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าตัวภูเขาจะมีลักษณะเป็นชั้นๆ ต่างสีกัน ชั้นล่างสุดจะเป็นฟอสซิล ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเป็นล้านปีมาแล้ว ส่วนชั้นบนซึ่งเป็นหินลาวา เกิดในช่วงที่ยุคน้ำแข็งเริ่มอุ่นขึ้นและมีอายุหินน้อยกว่าชั้นล่าง
ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาสูง 463 เมตร ตั้งอยู่ริมทะเลอย่างโดดเดี่ยว เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆ กันมีน้ำตก Kirkjufellsfoss นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะถ่ายภาพน้ำตกแห่งนี้โดยมีฉากหลังเป็นภูเขา
พักที่ Sýsló Guesthouse + Hótel Egilsen พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว ฟรี WiFi


17 กรกฎาคม 2566 ล่องเรือเฟอรี่ เวสต์ฟยอร์ด ลาเทรบจาร์ด นกพัฟฟิน
06.00 รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
07.30 ออกเดินทางไปท่าเรือ ล่องเรือเฟอรี่ข้ามไปยังเวสต์ฟยอร์ด เที่ยวเช้าเวลา 08.45 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
เวสต์ฟยอร์ด เป็น ดินแดนอันไกลโพ้นทางภูมิภาพตะวันตกเฉียงเหนือของไอซ์แลนด์ ซึ่งน้อยคนนักที่มีโอกาสได้เดินทางมาเยือน เนื่องจากในฤดูหนาวเส้นทางจะถูกตัดขาดจากหิมะปกคลุมถนนหนาหลายเมตรนานกว่าหกเดือน สามารถเดินทางได้เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น ประชากรที่อาศัยอยู่ในแถบนี้จะอพยพลงใต้ในช่วงฤดูหนาว แล้วกลับมาใหม่ในฤดูร้อน
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูง เต็มไปด้วยฟยอร์ดที่งดงามตระการตา ถนนสายเล็กๆ จะนำเราไปจนสุดปลายแหลมที่มีชื่อเรียกว่า ลาเทรบจาร์ด เป็นหน้าผาที่สูงชัน และที่นี่คือบ้านหลังใหญ่ของนกทะเลนับล้านๆ ตัว รวมทั้งนกพัฟฟินแสนสวย หน้าตาราวกับหลุดออกมาจากภาพยนต์การ์ตูน เป็นที่หมายปองของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนไอซ์แลนด์ในฤดูร้อน สามารถชมได้ในระยะใกล้เพียงไม่กี่เมตร
พักที่ Fosshotel Westfjords พักห้องละ 2 ท่าน




18 กรกฎาคม 2566 น้ำตกอินจันดิ ฟยอร์ดตะวันออก หินไดโนเสาร์ Hvitserkur
เช้า ออกเดินทางไปยังน้ำตกอินจันดิ หนึ่งในน้ำตกที่ใหญ่โตและงดงาม สายน้ำจะมากเป็นพิเศษในฤดูร้อนเนื่องจากมีการละลายของหิมะจำนวนมากนั่นเอง สามารถเดินขึ้นไปชมชั้นต่างๆ ของน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด นับเป็นน้ำตกใหญ่ที่สุดของเวสต์ฟยอร์ด
จากนั้นเดินทางผ่านฟยอร์ดทางตอนเหนือที่สวยงาม ถนนจะคดเคี้ยวไปตามฟยอร์ดและทิวเขาราวหนึ่งชั่วโมงจะถึงเมืองประมงเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของเวสต์ฟยอร์ด ชื่อ อิสาฟยอร์ดัวร์ สร้างเมืองมาตั้งแต่ศตวรรตที่ 18 มีบ้านไม้โบราณมากมาย โดยบ้านเรือนตั้งอยู่ในพื้นที่คล้ายเกาะล้อมรอบไปด้วยน้ำทะเล ไม่เหมือนเมืองใดๆ ในไอซ์แลนด์
เที่ยง อิสระอาหารกลางวันในตัวเมือง
บ่ายเดินทางผ่านฟยอร์ดทางฝั่งตะวันออก เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงามที่เข้ามาชมได้เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น หากเป็นฤดูหนาวเส้นทางทั้งหมดจะปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ไม่สามารถเดินทางผ่านไปได้
พักที่ North Star Stadarflot



19 กรกฎาคม 2566 วิทเซอเค่อร์ ศูนย์อนุรักษ์แมวน้ำ หินไดโนเสาร์ อะคูเรลริ บสถ์ Akureyrarkirkja
หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางต่อไปยังแหลมวิทเซอเค่อร์ ดินแดนอันห่างไกลผู้คนทางตอนเหนือ มีภูมิทัศน์ที่งดงามแปลกตา แวะชม Hamarsrétt ศูนย์กลางการซื้อขายแกะใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ บริเวณนี้มีทิวทัศน์ที่งดงาม เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้หลากสีซึ่งบานสะพรั่งเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น
จากนั้นเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์แมวน้ำที่มีอยู่มากมายนับร้อยๆ ตัว นอนเรียงรายอยู่ริมหาด เป็นจุดชมแมวน้ำที่ดีที่สุดในไอแลนด์ และในฤดูร้อนจะมีนกทะเลอีกกว่า 20 ชนิดทำรังอยู่ในพื้นที่รอบๆ นับเป็นสถานที่ถ่ายภาพ Wildlife ที่ยอดเยี่ยมอีกแห่งหนึ่ง
จุดหมายต่อไปคือหนี่งในไฮไลท์ของทริปนี้นั่นคือ วิทเซอเค่อร์ หินบะซอลต์ที่ตั้งซ้อนกันหลายชั้น โผล่ขึ้นมาจากทะเลสูง 15 เมตร ดูล้ายกับมังกรที่กำลังดื่มน้ำทะเล ซึ่งตำนานของประเทศไอซ์แลนด์เล่าว่า มีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหนีจากแสงพระอาทิตย์ในยามเช้าไม่ทัน จึงต้องคำสาปให้กลายเป็นหินหินรูปไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ หากน้ำทะเลลดลงเต็มที่จะเดินไปถึงก้อนหินรูปร่างประหลาดแห่งนี้ได้ แต่ยามที่น้ำทะเลขึ้น จะสวยงามด้วยเงาสะท้อนน้ำ
เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่ปั๊มน้ำมัน N1 บลอนดู
บ่ายเดินทางกลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองอะคูเรลริ เมืองเล็กๆ แสนน่ารักทางภาคเหนือของไอซ์แลนด์ เป็นเมืองที่เงียบสงบ บ้านเรือนสวยงาม มีร้านค้าน่ารักๆ มากมาย ต่างกับเมืองหลวงเรคยาวิกค่อนข้างมาก และจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอันดับสองรองจากเรคยาวิก เที่ยวชมสัญลักษณ์ของเมืองนั่นคือโบสถ์ Akureyrarkirkja ตั้งอยู่บนเนินสูง ออกแบบโดยสถาปนิก Samuelsson ซึ่งเป็นคนออกแบบโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยาในเรคยาวิก สร้างตั้งแต่ปี 1940 ภายในมีออแกน 3,200 แท่ง และภาพวาดทางศาสนาคริสต์ที่สวยงามมากมาย
ค่ำ อิสระเดินเที่ยวไปตามถนนคนเดิน Hafnarstraeti ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและนักท่องเที่ยว บ้านเรือนโดดเด่นด้วยสีสันฉูดฉาด เป็นฉากสำหรับถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี หรือจะเดินเล่นชมวิวทะเลก็ไม่เลว เนื่องจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่ติดริมฝั่งทะเล ( พระอาทิตย์ตกเที่ยงคืน )
พักที่ Hafdals Hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน, มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi )



20 กรกฎาคม 2566 Husavik - ล่องเรือชมวาฬ - อาลเอยาร์ฟอสส์ - โกดาฟอสส์
เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นเวลา 07.30 เดินทางไปเมืองเล็กๆ ชื่อ Husavik ซึ่งทางตอนเหนือของอะคูเรลริ เป็นสถานที่ดูวาฬดีที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นทัวร์ดูวาฬเป็นแห่งแรกในไอซ์แลนด์ Whale Watching Hauganes หลังจากที่ใส่ชุดกันลมและกันอากาศที่หนาวเย็น เรือจะออกเดินทางออกสู่ปากอ่าวซึ่งมีฝูงวาฬวนเวียนหากินอยู่บริเวณนั้น อาทิ วาฬหลังค่อม และวาฬเพลรฆาต ใช้เวลาล่องเรือและถ่ายภาพวาฬประมาณ 3-4 ชั่วโมง เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจในทริปนี้
เที่ยง อิสระอาหารกลางวันในตัวเมืองอะคูเรลริ
บ่าย เดินทางไปชมสองน้ำตกที่โด่งดังทางตอนเหนือนั่งคือ อาลเอยาร์ฟอสส์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกสวยงามที่สุดของไอซ์แลนด์ สูงราว 20 เมตร น้ำตกลงไปในทะเลสาบสีน้ำเงินที่สวยงาม หน้าผาซ้ายขวาเป็นเสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยมที่สวยงามอย่างน่าอัศจจย์ พบได้เพียงไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ โดยเสาทั้งหมดมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบและสมมาตรจนดูเหมือนแกะสลักด้วยมือ ซึ่งเกิดจากลาวาไหลลงมาตามหน้าผาระหว่างการปะทุเมื่อหลายศตวรรษก่อน ลาวาชั้นนอกซึ่งสัมผัสกับอากาศได้เย็นตัวลงจนกลายเป็นหินแข็งเร็วกว่าชั้นที่อยู่ด้านล่าง ทำให้ลาวาหดตัวเท่า ๆ กันบนพื้นผิวของมันเป็นเสาทรงกระบอก ซึ่งแตกออกเป็นโครงสร้างหกเหลี่ยมเนื่องจากระดับความดันที่แตกต่างกันในหิน
จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตก โกดาฟอสส์ น้ำตกขนาดปานกลาง กว้างราว 30 เมตร มีปริมาณน้ำมาก หากมองแบบตามแสงจะเห็นรุ้งกินน้ำโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมกลางน้ำตกอย่างสวยงาม
พักที่ Hafdals Hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน, มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi )




21 กรกฎาคม 2566 ทะเลสาบมีวัทน์ - ปล่องภูเขาไฟเทียม - Hverfjall - นกพัฟฟิน
หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางออกจากเมืองอะคูเรลริ ไปชมทะเลสาบมีวัทน์ ซึ่งเกิดจากการประทุของลาวาภูเขาไฟขนาดยักษ์ราว 2,300 ปีก่อน เมื่อลาวาเย็นและแข็งตัวทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาดราวกับอยู่นอกโลกมนุษย์ รอบๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยปากปล่องภูเขาไฟเทียม สำหรับทะเลสาบมายด์วัทน์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 37 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นถิ่นอาศัยของนกน้ำจำนวนมากและมีความสำคัญในฐานะแหล่งอนุรักษ์นกน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยมีการจัดตั้งพื้นที่ให้เป็นเขตอนุรักษ์นก
บ่ายเดินทางไปชม ปล่องภูเขาไฟเทียม Rootless Cones สามารถเดินขึ้นไปชมบนปากปล่องได้ จากนั้นไปชมปล่องภูเขาจริงๆ เป็นภูเขาไฟที่ดับไปนานแล้วชื่อ Hverfjall หากใครมีพลังพอสามารถเดินขึ้นไปชมบนปากปล่องได้ จากด้านบนจะมองเห็นวิวพาโนรามาของทะเลสาบมิวัทน์ได้อย่างสวยงาม
จุดหมายต่อไปคือ น้ำตกเดทตี้ฟอส์ส น้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม แวดล้อมด้วยแคนยอน ซึ่งมีลักษณะเป็นผาหินสูงชัน ตัวน้ำตกสูงราว 44 เมตร ปริมาณน้ำในหนึ่งวินาทีมีมากถึง 193 คิวบิกเมตร นับเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และมีปริมาณน้ำไหลรุนแรงมากที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่เห็นรุ้งกินน้ำได้ เนื่องจากมีละอองน้ำจำนวนมหาศาลลอยขึ้นมาจากสายน้ำที่ตกลงไปในหุบเขา
เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้คือชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกสุดของไอซ์แลนด์ มีสภาพเป็นหน้าผาสูงชัน แวะชมบ้านหลังคาหญ้า ที่มีหญ้าเขียวขจีปกคลุมอย่างสวยงาม ตัวบ้านทาสีแดงสดดูเด่นสะดุดตา นับเป็นบ้านหลังคาหญ้าที่เก่าแก่และงดงามมากหลังหนึ่งในไอซ์แลนด์ และในฤดูร้อนของทุกปี ตามหน้าผาชายฝั่งทะเลแถบนี้จะเต็มไปด้วยนกพัฟฟินนับล้านๆ ตัว บินกลับฝั่งมาสร้างรังวางไข่และเลี้ยงลูก สามารถชมและถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิด เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว
พักที่ Icelandair Hotel Herad หรือเทียบเท่า ( อพาร์ทเม้นท์ 2 ห้องนอน พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, มีห้องครัว และห้องพักคู่ ห้องน้ำรวม ฟรี WiFi ในห้องพัก )



22 กรกฎาคม 2566 บะซอลล์แคนยอน ดิจุบเวอร์กัวร์ ภูเขาเวสเทอร์ฮอร์น
หลังอาหารเช้า เดินเล่นชมวิวท่าเรือหน้าที่พัก บริเวณนี้มีนกพัฟฟินมาทำรังวางไข่เช่นกัน แม้ว่าจะอยู่ในย่านชุนชมก็ตาม การชมไม่ควรเข้าใกล้เกินกว่าหนึ่งเมตร และห้ามสัมผัสตัวนกโดยเด็ดขาด เป็นกฏที่เคร่งครัดอย่างมากสำหรับชาวบ้านในแถบนี้
จากนั้นเดินทางไปชมบะซอลล์แคนยอน อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้ ชมแท่งหินบะซอลล์จำนวนนับพันเรียงรายเป็นหน้าผาแคบๆ สูงชัน มีธารน้ำสีเขียวไหลผ่าน จากลานจอดรถต้องเดินเท้าเข้าไปราว 2 กิโลเมตร จะพบเห็นภาพที่งดงามอย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นเดินทางไปตามถนนหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าลงใต้ แวะรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองดิจุบเวอร์กัวร์ เป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่สวยงามริมฝั่นทะเล
บ่าย ถนนจะผ่านอุโมงค์ที่ลอดใต้ภูเขาไปทะลุสู่ภาคใต้ของไอซ์แลนด์ ภูมิทัศน์จะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากถนนที่ส่วนใหญ่อยู่บนภูเขา จะกลายเป็นถนนบนทางราบเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ยาวหลายร้อยกิโลเมตร
เราจะเริ่มต้นกันที่ ภูเขาเวสเทอร์ฮอร์น เป็นจุดหมายแรกของภาคใต้ฝั่งตะวันออก เป็นหนึ่งในภูเขาที่ช่างภาพมืออาชีพต่างยกย่องให้เป็น ภูเขาสวยที่สุดในโลก ทั้งภูเขาเป็นหินลาวาอายุหลายสิบล้านปี ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมฝั่งทะเล มีหาดทรายดำสนิทอยู่เบื้องหน้า
จากนั้นนำท่านเดินไปชมหมู่บ้านไวกิ้ง ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำภาพยนต์ Viking อันโด่งดัง โดยจำลองมาจากหมู่บ้านจริงในอดีต มีกำแพงสูงโดยรอบ
พักที่ Hotel Jökull ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )





23 กรกฎาคม 2566 สโนว์โมบิล ล่องเรือกลาเซียร์ลากูน ไดมอนด์บีซ อุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล
หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เปลี่ยนไปนั่งรถออฟโรดล้อโต 4x4 ขึ้นไปบนภูเขาสูงซึ่งยังคงมีน้ำแข็งและหิมะปกคลุม สนุกสนานไปกับกิจกรรมสโนว์โมบิล นั่งคันละ 2 ท่าน หากต้องการสามารถทดลองสลับกันขี่ได้ แต่ถ้าไม่สะดวกก็เลือกนั่งซ้อนอย่างเดียวก็ได้เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีเฉพาะฤดูร้อน เนื่องจากฤดูหนาวหิมะจะปิดเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาในแถบนี้ทั้่งหมด
เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร
บ่าย เดินทางไปชม กลาเซียร์ ลากูน หรือก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่ที่ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบ มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เดินชมความงามของก้อนน้ำแข็งที่มีรูปทรงแปลกประหลาดไม่ซ้ำกัน สามารถเข้าไปชมและสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด จากนั้นนั่งเรือล่องไปตามลากูน ชื่นชมกับทิวทัศน์ของกลาเซียร์น้ำแข็ง และฟังบรรยายความเป็นมาของกลาเซียร์จากไกด์ท้องถิ่น ใช้เวลาเที่ยวชมประมาณ 30-40 นาที ถ่ายภาพก้อนน้ำแข็งยักษ์ในทะเลสาบกันอย่างจุใจ
จากนั้นไปถ่ายภาพก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่แตกออกมาจากกลาเซียร์ ซึ่งจะลอยอยู่ในลากูน แล้วไหลออกสู่ทะเล ตามหาดทรายสีดำสนิทจะมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มากมายเรียงรายกันอยู่ เมื่อถูกคลื่นซัดจะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ใช้เวลานาน เนื่องจากน้ำในทะเลก็เย็นจัดพอๆ กับอุณหภูมิของก้อนน้ำแข็ง
เย็น เดินทางไปอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล
พักที่โรงแรม skaftafell hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )
24 กรกฎาคม 2566 วัทนาโจกุล น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ สกาฟตาเฟลโจกุล
เช้า เดินเทรลไปชมธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดในไอซ์แลนด์ชื่อ สวีน่าเฟลโจกุล ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจากที่ทำการอุทยาน เป็นกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งแรกของทริปนี้
จากนั้นเดินทางกลับไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล เตรียมตัวเดินเทรลขึ้นเขาไปชมน้ำตกสวาร์ติฟอสส์ หรือน้ำตกดำ หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงและสวยที่สุดในวัทนาโจกุล เป็นน้ำตกสูงชั้นเดียว ตกมาจากหน้าผาหินบะซอลล์สีดำสนิท ระหว่างเดินขึ้นจะได้เห็นทิวทัศน์ชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ได้อย่างชัดเจน
บ่ายเดินเทรลไปชมธารน้ำแข็งอีกแห่งหนึ่งชื่อ สกาฟตาเฟลโจกุล ซึ่งคือชื่อเดิมของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุลนั่นเอง จัดเป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มาก กว้่างราว 1 กิโลเมตร และยาวประมาณ 8 กิโลเมตร
เย็น เที่ยวชมวิวของธารน้ำแข็งจากถนนหมายเลข 1 มีจุดชมวิวที่สวยงามหลายแห่ง มองเห็นวิวสวยงามแบบพาโนรามาได้รอบทิศ 360 องศา
พักที่โรงแรม Hotel Vík í Mýrdal ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )



25 กรกฎาคม 2566 วัทนาโจกุล วิก แหลม Dyrholaey เรย์นิสฟยาร่า
เช้า เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 1 แวะชมโบสถ์หลังคาหญ้าที่มีเพียงหลังเดียวในไอซ์แลนด์ เป็นโบสถ์เก่าแก่อายุนับร้อยปี และยังใช้เป็นสถานประกอบพิธีทางศาสนามาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นไปชมเรย์นิสฟยาร่า ชายหาดสีดำสริทใกล้เมืองวิค ที่นี่เต็มไปด้วยก้อนกรวดขนาดเล็กสีดำ ที่โดดเด่นคือ มีหินบะซอลต์เป็นแท่งทรง สี่เหลี่ยมจำนวนมากเรียกว่า "การ์ด้าร์ " มองดูแทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสถานที่แห่ง นี้ และมองออกไปในทะเลจะเห็นคลื่นลูกยักษ์ของมหาสมุทรแอตแลนติดเหนือโอบล้อมแท่งหินบะซอลต์ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางทะเลมีทั้งหมด 4 ยอด เรียกว่า เรย์นิสดรันก้าร์ ในช่วงเวลาที่เดินทางไป ตรงกับเวลาที่นกทะเลจำนวนมาก เช่น นกพัฟฟิน (Puffin) , นกทะเลปากยาว (guillemots) และนกฟูลม่าร์ (northern fulmars) หรือนกจมูกหลอด ทำรังวางไข่และเลื้ยงลูก ทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงนกจำนวนมากโบยบินไป บรรยากาศดูคึกคักมากทีเดียว
จุดหมายต่อไปเที่ยวกันต่อที่จุดชมวิวเมืองวิก มองเห็นโบสถ์เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีฉากหลังคือเมืองวิค และหาดทรายดำเมืองวิก พร้อมทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ป่าสีเหลืองและดอกลูปินสีม่วงบานสะพรั่งเป็นฉากหน้าอย่างสวยงาม มองหามุมสวยๆ กันจนเต็มอิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อ
เที่ยงอิสระอาหารกลางวันที่เมืองวิก
จากนั้นแวะชมและเลือกซื้อสินค้านานาชนิดที่ร้านเอ้าท์เล็ทของ Icewear เสื้อผ้าแบรนด์ท้องถิ่นชื่อดังของไอซ์แลนด์ และยังมีสินค้าที่ระลึกต่างๆ อีกมากมาย
บ่าย เที่ยวชมหาดทรายดำแห่งเมืองวิก หาดทรายดำที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโลก ทรายดำสนิทระยะทางยาวหลายกิโลเมตร จากนั้นเดินทางไปเที่ยวชมแหลม Dyrholaey ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหน้าผาสูงชันกว่า 120 เมตร มองเห็นหาดทรายดำยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับชมฝูงนกพัฟฟินและนกทะเลจำนวนมากสร้างรังวางไข่ตามริมหน้าผา และยังมีทิวทัศน์ที่สวยงามจากมุมสูงของหาดทรายดำตัดกับทะเลสีครามของมหาสมุทรใต้อันกว้างใหญ่
พักที่ Hótel Kría ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )






26 กรกฎาคม 2566 ซากเครื่องบิน DC-3 น้ำตกซัลยาลันฟอสส์ น้ำตกสโคกาฟอส์ส ปล่องภูเขาไฟเเคิร์ธ
เช้า ชมซาเครื่องบิน DC-3 ที่หาดทรายดำ ประวัติความเป็นมาย้อยหลังไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 1973 เครื่องบิน Douglas R4D-8 Super DC-3 ชนิดสองเครื่องยนต์ ได้บินผ่านเมืองเฮิฟ์น แต่เครื่องขัดข้องต้องร่อนลงฉุกเฉินที่หาดทรายดำโซลเฮมาซานตุร์ ผู้โดยสารทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กองทัพได้ทิ้งเครื่องบินลำนี้ไว้ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ แรกๆ ต้องเดินไปกลับราวสองชั่วโมง แต่ปัจจุบันมีรถรับส่ง จากถนนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงซากเครื่องบิน
จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตกซัลยาลันฟอสส์ หนึ่งในน้ำตกสวยที่สุดของไอซ์แลนด์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ มีทิวทัศน์แวดล้อมที่สวยงาม ที่พิเศษคือ มีทางเดินเล็กที่สามารถเดินไปหลังม่านน้ำตกได้ เมื่อ มองย้อนออกมาจะเห็นผาหินโค้งเป็นรูปวงกลม เป็นมุมมองที่เรียกได้ว่า สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไอซ์แลนด์เลยทีเดียว
น้ำตกสโคกาฟอส์ส ส่วนหนึ่งของเทือกเขา Eyjafjöll ตัวน้ำตกมีขนาดใหญ่ สูงถึง 61 เมตร เป็นน้ำตกที่ชั้นสูงที่สุดในไอซ์เเลนด์ ปริมาณน้ำจำนวน มหาศาลที่ถาโถมลงมาทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องตะลึงถึงความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกแห่งนี้ ภาพจำนวนนับล้านๆ ภาพ และวิดีโอ ภาพยนตร์ จำนวนมากถูกถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลก ทำให้แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายมุม มองตั้งแต่ระยะไกล ไปจนถึงตีนน้ำตก และสามารถเดินไปตามเส้นทางเดินที่จัดทำไว้อย่างดีจนถึงด้านบนสุดเพื่อบันทึกภาพมุมสูง
จากนั้นชมพิพิธภัณฑ์สโคกา รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวไอซ์แลนด์ ยานพาหนะต่างๆ ตั้งแต่ยุคไวกิ้งจนถึงยุคที่มีการตัดถนนหมายเลข 1 วนรอบประเทศ และยังมีส่วนกลางแจ้ง แสดงบ้านเรือนหลังคาหญ้าแบบโบราณ สามารถเข้าไปชมภายในได้ รวมทั้งฟาร์ม โบสถ์ และโรงเรียน
บ่าย ชมปากปล่องภูเขาไฟเเคิร์ธ ปากปล่องมีความลึก 55 เมตร กว้าง 270 เมตร มีอายุกว่า 3000 ปี สามารถ เดินขึ้นไปบนปากปล่องด้านบนได้ในระยะทางสั้นๆ เพียง 5 นาทีจากลานจอดรถ ถ่ายภาพทิวทัศน์อันน่ามหัศจรรย์ สามารถเดินเล่นรอบปากปล่องภูเขาไฟเป็นวงกลมได้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และมีสะพานเดินลงไปชมทะเลสาบในปล่องทางด้านล่างได้อย่างใกล้ชิด น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าสดใสสวยงามมาก
พักที่โรงแรม Borealis hotel หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )
27 กรกฎาคม 2566 ซิงเควลลิร์ วงแหวนทองคำ น้ำพุร้อนกีเซอร์ น้ำตกกุลฟอสส์ น้ำตกปรูอาร์ฟอสส์
เช้า เดินทางไปสถานที่สําคัญในประวติศาสตร์ ของไอซ์แลนด์ ซิงเควลลิร์ มาจากภาษาไอซ์แลนด์ Þing แปลว่า สภา vellir แปลว่า ทุ่งหญ้า เมื่อรวมกันหมายถึงสภาที่ตั้งขึ้นในที่โล่งเป็นลานประชุมของชุมชนไอซ์แลนด์ในยุคแรก ๆ สถานที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์ โดยรัฐสภาหรือ อัลชิงกิ ได้ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.930 และต่อเนื่องมาจนถึง ปี ค.ศ.1789 ซิงเควลลิร์ ตั้งอยู่ตรงรอยรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาปซึ่งเป็นทะเลสาปตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นจุดกำเนิดทางด้านประวัติศาสตร์ และทางด้านธรณีวิทยา เพราะเป็นส่วนหนึ่งของรอยเลื่อนโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร แบ่งแยกแผ่นเปลือกโลกทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป ซิงเควลลิร์ยังเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ นอกจากนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2004
จากนั้นเดินทางไปชม น้ำตกกุลฟอสส์ มาจากคำว่า Gull ในภาษาไอซ์แลนด์ที่แปลว่าทอง และ Foss ที่แปลว่า น้ำตก จัดเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ ลดหลั่นเป็นชั้นๆ รวม 3 ชั้น ช่วงแรกสูง 11 เมตร และช่วงที่สอง สูง 21 เมตร ความแรงของน้ำอยู่ที่ 140 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถเที่ยวชมได้อย่างใกล้ชิดโดยมีทางเดินเลียบน้ำตก แต่ละอองน้ำจำนวนมหาศาล ควรมีเสื้อกันฝนหากต้องการเดินเข้าไปใกล้น้ำตก
จุดหมายต่อไปคือ น้ำพุร้อนกีเซอร์ น้ำพุร้อนที่ปล่อยกระแสน้ำร่วมกับไอน้ำออกมาเป็นระยะๆ ประมาณ 10-15 นาทีต่อครั้ง บางครั้งก็พ่นน้ำร้อนสูงมากถึง 40 เมตรเหมือนการ ระเบิดของไอน้ำ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าที่ง การเกิดของไกเซอร์ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะทางอุธกธรณีวิทยา ซึ่งสามารถพบได้เพียงไม่กี่แห่ง ในโลก จัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมมชาติที่หาดูได้ยากชนิดหนึ่ง
เย็น เดินเท้าชมน้ำตกสีฟ้าชื่อดังสุดมหัศจรรย์ชื่อ น้ำตกปรูอาร์ฟอสส์ มีจุดเริ่มต้นเดินจากริมถนนใหญ่ เป็นทางเดินเลียบลำธาร ระยะทางเดินไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตร
พักที่โรงแรม Vellir หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )




28 กรกฎาคม 2566 บลูลากูน ทะเลสาบเคลย์ฟาร์วาท์น Fagradalsfjall Volcano
หลังอาหารเช้า เดินทางไป บลูลากูน สปาน้ำร้อนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก หากไม่ได้มาบลู ลากูน เท่ากับว่ายังมาไม่ถึงไอซ์แลนด์ บลู ลากูนอยู่ในแอ่งลาวาห่างจากสนามบินนานาชาติเรคยาวิกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งแอ่งน้ำร้อนหรือลากูนเป็นผลพลอยได้จากเครื่องกังหันผลิตกระแสไฟฟ้าที่อยู่ติดกัน โดยใช้พลังงานไอน้ำร้อนจากใต้ดินมาปั่นกระแสไฟฟ้า น้ำร้อนที่ผ่านการผลิตกระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสู่ทะเลสาบโดยอุณหภูมิจะลดลงกลายเป็นน้ำอุ่นที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเชื่อว่าสามารถรักษาโรคผิวหนังได้ โดยอุณหภูมิของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส มีระบบการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม กำหนดให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ต้องการลงไปแช่น้ำร้อนต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยก่อนลงแช่น้ำร้อน ภายในมีร้านอาหาร เครื่องดื่มและร้านขายสินค้านานาชนิด เปิดให้บริการตลอดทั้งปี
จากนั้นไปเที่ยวชมทะเลสาบเคลย์ฟาร์วาท์น ทะเลสาบใหญ่ที่สุดของแหลมเรคจาเนส มีจุดชมวิวที่สวยงามหลายแห่ง สามารถชมวิวจากมุมสูงหรือเดินเล่นริมทะเลสาบได้ ใกล้ๆ กันยังมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่พ่วยพุ่งตลอดเวลาอีกด้วย
จุดหมายต่อไปชมสะพานข้ามสองทวีปทางปลายสุดของแหลมเรคยาเนส มองเห็นรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกสองทวีปคืออเมริกาเหนือและยุโรปได้อย่างชัดเจน มีสะพานเดินข้าม และทางเดินใต้สะพาน จากนั้นไปจุดชมวิวด้านปลายสุดของแหลม Valahnukamol เป็นหน้าผาหิน มีหาดทรายที่เป็นกรวดหินสีดำสนิท
เย็น อิสระช้อปปิ้งย่านใจกลางเมืองเรคยาวิก
พักที่โรงแรม Vellir หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )
29 กรกฎาคม 2566 เรกยาวิก-สตอกโฮล์ม
เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
05.00 เดินทางไปสนามบิน
07.35 ออกเดินทางโดยสายการบินไอซ์แลนด์แอร์เที่ยวบิน FI 306
12.45 ถึงสนามบินสตอกโฮล์ม ประเทศฟินแลนด์
14.30 ออกเดินทางต่อโดยการบินไทย เที่ยวบิน TG 961
30 กรกฎาคม 2566 กรุงเทพฯ
05.50 เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมภาพประทับใจที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน