top of page
  • ​ไทยแลนด์โฟโต้ทัวร์  ใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/08113 

  • ส่งอีเมล์หาเราได้ที่ sale@thailand-photo-tours.com

  • ติดตามข้อมูลข่าวสารทาง line ได้ที่ @thailandphototours

ทัวร์ อันซีน ไอซ์แลนด์ ซัมเมอร์ 2024

พระอาทิตย์เที่ยงคืน สว่าง 24 ชั่วโมง

วันที่ 9-25 กรกฎาคม 2567 ( 17 วัน ) 

รับเพียง 10 ท่านเท่านั้น ( เต็ม )

ขอเชิญร่วมเดินทางสู่ประเทศไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งขั้วโลกเหนือ ทัวร์เดียวที่จะนำท่านชมทิวทัศน์อลังการที่สุดบนโลกใบนี้ เจาะลึกไอซ์แลนด์เที่ยวครบทั่วประเทศทุกภูมิภาคในทริปเดียว เดินทางเข้าสู่ใจกลางประเทศที่มีทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจ มีเวลาให้ท่านได้ถ่ายภาพกันอย่างเต็มที่ น้ำตกยักษ์มากมาย กลาเซียร์ธารน้ำแข็ง ทุ่งดอกไม้ตระการตา ชมนักพัฟฟินแสนน่ารัก ล่องเรือชมวาฬ ขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็ง และอื่นๆ อีกมากมาย เดินทางด้วยรถมินิบัส  นำทริปโดยอาจารย์ประสิทธิ์ จันเสรีกร ผู้มีประสบการณ์ถ่ายภาพและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์มาแล้วทั่วประเทศ ในทุกฤดูกาล

ท่านละ 238,000 บาท

ICE_0060.jpg
ice197.jpg

พาหนะการเดินทาง : มินิบัส
จำนวนสมาชิก : 10 ท่าน

ค่าใช้จ่าย : ท่านละ 238,000 บาท ( โปรดอ่านรายละเอียดรายการที่ไม่รวมในค่าทริป )

การจองทริป : โอนมัดจำ 60,000 บาท

ส่วนที่เหลือ ชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2567


การยกเลิกทริป

แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 90 วัน คืนมัดจำ 100%

แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 60-89 วัน หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

แจ้งยกเลิกก่อนเดินทาง 30-59 วัน หักค่าใช้จ่าย 50%

แจ้งยกเลิกน้อยกว่า 30 วัน ไม่คืนเงินทุกกรณี

ยื่นวีซ่าไอซ์แลนด์ : ทีมงานจะนัดหมายยื่นวีซ่าเดือนเมษายน 2567 ( ใช้เวลาในการขอวีซ่าประมาณ 60 วัน ) ระหว่างการขอวีซ่าไม่สามารถขอเล่ม passport จากสถานฑูตมาใช้ได้จนกว่าจะได้รับวีซ่า

 

โปรดทราบ :
ทริปนี้เดินทางกลุ่มเล็ก โดยใช้รถมินิบัส ผู้นำทริปจะเป็นผู้ขับรถนำเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ตามโปรแกรม ทำให้สะดวกสามารถจอดรถถ่ายภาพวิวได้ทุกสถานที่ เนื่องจากไอซ์แลนด์มีภูมิประเทศ และทิวทัศน์ที่งดงาม ซึ่งจะได้พบเห็นตลอดการเดินทาง 

ค่าใช้จ่ายรวม

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพฯ - เรคยาวิก ชั้นประหยัด

  • ค่าที่พักตามโปรแกรม

  • ค่าอาหารเช้าที่โรงแรม ( ไม่รวม ค่าอาหารกลางวันและอาหารค่ำ ) กรณีที่พักแบบอพาร์ทเม้นท์ จะไม่มีอาหารเช้า

  • ค่าประกันเดินทางคุ้มครองสูงสุด 3,000,000 บาท

  • ค่ารถมินิบัสนำเที่ยวตามโปรแกรม 

  • ค่าบัตรท่องเที่ยวและแช่สปาน้ำร้อนที่บลู ลากูน

  • ค่าล่องเรือชมวาฬ

  • ค่ากิจกรรมขี่สโนว์โมบิล

  • ค่ากิจกรรมล่องชมก้อนน้ำแข็งไอซ์เบิร์ก ที่กลาเซียร์ลากูน

  • ค่าบัตรชมวิวเรกยาวิกมุมสูงที่โบสถ์ฮัลกริมสเคียร์ค่า

  • ค่าบัตรชมถ้ำน้ำแข็งจำลอง

  • ค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งตามที่ระบุในโปรแกรม

  • ค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นการเหมาจ่าย หากท่านยกเลิกโปรแกรมท่องเที่ยวใดๆ จะไม่ได้รับเงินคืน 

ค่าใช้จ่ายไม่รวม

1 .ค่าขอวีซ่าไอซ์แลนด์ ผู้ร่วมเดินทางต้องกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ ( ชำระค่าวีซ่า 80 ยูโรออนไลน์ ) และยื่นวีซ่าด้วยตนเองเพื่อสแกนลายนิ้วมือ (ทีมงานจะจัดเตรียมเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับรายการทัวร์เป็นภาษาอังกฤษและนำไปให้ในวันยื่นวีซ่า)

2. ค่าอาหารกลางวันและอาหารค่ำ

3. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุในโปรแกรม

ข้อควรทราบ

1 ) อุณหภูมิที่ไอซ์แลนด์เดือนกรกฎาคม ประมาณ 5 - 20 องศา

2) น้ำหนักกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง ไม่เกิน 23 กิโลกรัม

3 ) อาหารกลางวันและอาหารค่ำ ไม่รวมในค่าทริป

4 ) ควรแลกเงินยูโร เพื่อแลกเป็นเงิน ISK ที่สนามบินเรคยาวิก (ไอซ์แลนด์)

5 ) ร้านค้าต่างๆ รับบัตรเครดิตหรือทราเวลการ์ด 

อาหาร

1. อาหารเช้าแบบบุฟเฟห์หรืออาหารชุดที่โรงแรม ( รวมในค่าทริป ) , ที่พักอพาร์ทเม้นท์บางแห่งไม่มีอาหารเช้า

2. อาหารกลางวันและอาหารค่ำ ( ไม่รวมในค่าทริป ) ทีมงานจะนำสมาชิกไปรับประทานตามร้านอาหารระหว่างเส้นทางในเวลากลางวัน ( ค่าอาหารประมาณมื้อละ 500 - 1,500 บาท )

3. สามารถนำอาหารสำเร็จรูปจากเมืองไทยเข้าไอซ์แลนด์ได้ ( ที่พักบางแห่งเป็นอพาร์ทเม้นท์ มีครัวขนาดเล็กพร้อมอุปกรณ์ครัวในห้อง, กรณีห้องพักแบบอพาร์ทเม้นท์ จะไม่มีบริการอาหารเช้า )

 

ข้อแนะนำการแต่งตัวและสิ่งของที่ควรเตรียมไป

1. เสื้อผ้ากันหนาว รองรับอุณหภูมิต่ำสุด 5 องศา

2. รองเท้าชนิดกันน้ำ

3. ยาประจำตัว ( ถ้ามี )

กำหนดการ ( รายการทัวร์ต่างๆ และที่พัก อาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ )

9 กรกฎาคม 2567 กรุงเทพฯ - สตอกโฮล์ม

22.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ( มีทีมงานอำนวยความสะดวกเช็กอินขึ้นเครื่อง )

00.05 น. ออกเดินทางโดยสายการบินไทย ( สายการบินอาจเปลี่ยนแปลงได้ , หัวหน้าทัวร์รอรับที่สนามบินไอซ์แลนด์ )

10 กรกฎาคม 2567  เรคยาวิค โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา Solfar เพอร์แลน

07.00 น. เดินทางถึงเมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

13.50 น. ออกเดินทางต่อโดยไอซ์แลนด์แอร์ ( เที่ยวบินอาจเปลี่ยนแปลงได้ )

15.10 น. เดินทางถึงเรคยาวิก เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก ทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ด้านมุมล่างของอ่าว Faxaflói ซึ่ง Ingolfur Arnarson ชาวนอร์ดิค เป็นผู้อพยพคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329 ปัจจุบันเขตเมืองมีประชากรประมาณ 120,000 คน ประกอบด้วย 7 เทศบาลนครซึ่งรวมเทศบาลนครเรคยาวิก

  หลังจากรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเรคยาวิก อิสระอาหารกลางวันย่านใจกลางเมือง มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย

   จากนั้นไปชมและถ่ายภาพโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา  โบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์  สามารถขึ้นลิฟท์โดยสารไปยังชั้นบนสุดเพื่อชมวิวเรคยาวิกได้อย่างชัดเจนในมุมสูง โบสถ์ดังกล่าวมีความสำคัญในฐานะเป็นศาสนสถานที่สำคัญ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ มองจากด้านหน้าตรง ดูคล้ายยานอาวกาศ ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 38   ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงปี ค.ศ.1986 ด้านหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์ของเลฟร์ อีริกสัน (Leifr Eiriksson)  มือถือขวานและหนังสือ เป็นสัญลักษณ์ของการผจญภัย โดย เลฟร์ เป็นคนแรกที่เดินทางไปแถบอเมริกาเหนือและกรีนแลนด์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกามอบให้แก่ไอซ์แลนด์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 1 พันปี รัฐสภา “Althing”

   จุดหมายต่อไปคือ สถาปัตยกรรม Solfar (Sun Voyager) Sculpture ตั้งอยู่ริมอ่าวเรคยาวิก เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเรคยาวิก ต่อด้วย Harpa อาคารสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยกระจก เป็นทั้งหอแสดงคอนเสิร์ต และศูนย์การประชุม มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าสามแสนตารางฟุต จุดเด่นอีกอีกของ Harpa คือกระจกประดับอาคารที่เปลี่ยนสีสันจากแสงไฟราวกับอาคารมีชีวิตเต้นระบำได้ และมีสระน้ำอยู่หน้าอาคาร ถ่ายภาพในมุมมองเงาสะท้อนน้ำได้อย่างสวยงาม

   ปิดท้ายที่ เพอร์แลน อยู่ใจกลางเมืองเรคยาวิก ในภาษาไอซ์แลนด์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า The Pearl ที่แปลว่าอ่าว ออกแบบโดยสถาปนิก  นายอิงกิมูนดูร์ มี ความสูงเฉพาะตัวอาคารจากพื้นดิน  25.7 เมตร เป็นอาคารขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายลูกโลก ตั้งอยู่บนฐานที่คล้ายถังน้ำขนาดใหญ่ 4 ฐาน  มีพื้นที่ ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ภายในมี ร้านอาหาร  ร้านไอซ์ครีม ชั้นบนมีจุดชมวิวที่สามารถดินได้รอบเป็นวงกลมคล้ายดาดฟ้าเรือ  มองเห็นเมือง เรคยาวิกได้อย่างชัดเจน เพลิดเพลินกับการเดินเที่ยวชมและถ่ายภาพถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าจำลอง ( มีเสื้อแจ๊คเก็ตกันหนาวบริการฟรี )

   ค่ำ : อิสระอาหารค่ำที่ถนนสายช้อปปิ้ง Laugavegur มีร้านค้าต่างๆ มากมาย 

พักที่โรงแรม Vellir หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก ) 

ice099.jpg
IMG_2670.jpg
DSC_5723.jpg
DJI_0119-Pano.jpg
ice-22.jpg
ICE_7231.jpg

11 กรกฎาคม 2567  ไฮแลนด์ ลานมันนาเลยการ์

  รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นออกเดินทางเข้าสู่ใจกลางประเทศไอซ์แลนด์ โดยใช้ถนนออฟโรดที่เข้าได้เฉพาะรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น บางช่วงต้องลุยผ่านลำธาร ภูมิประเทศจะแตกต่างกับชายฝั่งทะเลเป็นอย่างมาก แต่ละปีเข้าไปเที่ยวได้เพียงไม่กี่เดือน และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ การพักแรมต้องเป็นแบบแค้มปิ้งเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายที่เรียกว่า ลานมันนาเลยการ์ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมในฤดูร้อน มีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติสำหรับลงไปอาบน้ำแร่ได้ 

  หลังจากชมทิวทัศน์โดยรอบแล้ว เราจะออกเดินไปตามเทรลที่นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกยกย่องว่าเป็นเทรลท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงามมากที่สุดในโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่นักเดินทางจากทั่วโลกพากันมาท่องเที่ยวและเดินชมทิวทัศน์บนเส้นทางสายนี้ เส้นทางบางช่วงค่อนข้างสูงชัน แต่ภาพที่เห็นจะทำให้ท่านหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หาได้ยาก และมีนักท่องเที่ยวไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่มาเยือนไอซ์แลนด์จะมีโอกาสได้มา ณ สถานที่แห่งนี้ 
พักที่โรงแรม Vellir หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )

12-13 กรกฎาคม 2567  ปล่องภูเขาไฟแฝดแกรบรอค  เบอร์การ์เนส น้ำตกฮรวนฟอสส์  แหลมสเนฟเฟลเนส แท่งหินบะซอลต์ เกตเล็ทเทอร์ โบสถ์ดำ อุทยานแห่งชาติสเนฟเฟลเนสโจกุล ภูเขาเคิร์กจูเฟล

  หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางขึ้นเหนือไปตามถนนหลวงหมายเลข 1 ที่เป็นถนนหลวงสายหลักเพียงสายเดียวในไอซ์แลนด์ วนรอบประเทศเป็นวงกลม ระยะทางประมาณ 1,300 กิโลเมตร เราจะเดินทางแบบวงกลมตามเข็มนาฬิกา ถนนจะเลียบชายทะเลที่มีทิวทัศน์งดงามตระการตา บางช่วงถนนจะลอดลงสู่ใต้ทะเลยาวหลายกิโลเมตร เส้นทางช่วงนี้จะมองเห็นทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งอย่างสวยงามในฤดูร้อน 

   จุดหมายแรกของเช้าวันนี้คือ ปล่องภูเขาไฟแฝดแกรบรอค เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว มีทางเดินอย่างดีขึ้นไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟด้านบน สามารถเดินวนรอบปล่องได้ และมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของดินแดนฝั่งตะวันตกจากมุมสูงได้อย่างชัดเจน

   จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตกเล็กๆ ที่งดงามมากทีเดียว ชื่อฮรวนฟอสส์ มีสายน้ำที่ไหลออกมาจากหินลาวาทางด้านล่าง และธารน้ำสีฟ้า และยังมีน้ำตกแฝดอยู่ใกล้ๆ กันสามารถเดินผ่านทุ่งลาวาไปชมได้อย่างใกล้ชิด

เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่เมืองเล็กๆ ชื่อเบอร์การ์เนส หากเตรียมอาหารไปเองจะมีโต๊ะปิคนิกให้นั่งทาน

  บ่าย ออกเดินทางสู่แหลมสเนฟเฟลเนส เราจะใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ 2 วันเต็ม ดินแดนแห่งนี้มีทิวทัศน์อันงดงามอลังการ ตื่นตาตื่นใจกับแท่งหินบะซอลต์ที่ตั้งเรียงกันบนเนินเขาราวกับกำแพง เป็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งบนเส้นทางสายนี้ ระหว่างทางจะเห็นทุ่งลาวากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สลับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีแกะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของไอซ์แลนด์ บางฟาร์มเลี้ยงวัว และม้า 

  เที่ยวชมโบสถ์ดำ ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่สร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายนอกอาคารทาสีดำสนิท เป็นที่มาของชื่อโบสถ์ดำ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1703 โดยพ่อค้าชาวสวีเดนชื่อว่า Bendt Lauridsen เป็นโบสถ์ที่ได้รับความนิยมมาจัดพิธีแต่งงานมากที่สุดทั้งชาวไอซ์แลนด์และชาวคริสต์จากทั่วโลก

  เที่ยวชมเมืองประมงเล็กๆ เกตเล็ทเทอร์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ชายฝั่งถูกน้ำกัดเซาะเว้าแหว่งเป็นรูปร่างที่ดูแปลกตา บางแห่งถูกกัดเซาะเป็นรูโพรงขนาดใหญ่เหมือนมีสะพานหินธรรมชาติอยู่ด้านบน ตามหน้าผามีนกทะเลจำนวนอาศัยอยู่ รวมทั้งนกพัฟฟินจำนวนมากก็พบได้ง่ายๆ ในบริเวณนี้ โดยใช้แนวหน้าผาทำรัง วางไข่และเลี้ยงลูก ใกล้ๆ กันมีอนุสาวรีย์ซากา จากเรื่องราวในเทพนิยายเก่าแก่ของไอซ์แลนด์

  เมื่อเดินทางถึงปลายแหลม จะพบกับทิวทัศน์หน้าผาที่ถูกน้ำทะเลและคลื่นลมกัดเซาะปรากฏเป็นภูเขาหินและโขดหินที่งดงามแปลกตามากมาย และยังมีปล่องภูเขาไฟอีกหลายลูก บางแห่งสามารถเดินขึ้นไปชมได้ ทั้งนี้แหลมสเนฟเฟลเนสทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของแนวภูเขาไฟที่มีอยู่เกือบทั่วทั้งประเทศไอซ์แลนด์ ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งสเนฟเฟลเนสโจกุล และพื้นที่แถบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติสเนฟเฟลเนสโจกุล ในฤดูร้อนบริษัททัวร์ท้องถิ่นจะจัดกิจกรรมหลายอย่างบนกลาเซียร์ เช่น การปีนภูเขาน้ำแข็ง หรือเดินบนกลาเซียร์ เป็นต้น

  จุดหมายที่นับเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของทริปนี้คือ เคิร์กจูเฟล (Kirkjufell) เรียกเป็นภาษาอังกฤษคือ Church Mountain หรือ “ภูเขาโบสถ์” ว่ากันว่ามีที่มาจากรูปร่างของภูเขาซึ่งคล้ายคลึงกับโบสถ์ บ้างก็ว่าคล้ายหมวกของแม่มด หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าตัวภูเขาจะมีลักษณะเป็นชั้นๆ ต่างสีกัน ชั้นล่างสุดจะเป็นฟอสซิล ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเป็นล้านปีมาแล้ว ส่วนชั้นบนซึ่งเป็นหินลาวา เกิดในช่วงที่ยุคน้ำแข็งเริ่มอุ่นขึ้นและมีอายุหินน้อยกว่าชั้นล่าง

  ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาสูง 463 เมตร ตั้งอยู่ริมทะเลอย่างโดดเดี่ยว เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดของไอซ์แลนด์ ใกล้ๆ กันมีน้ำตก Kirkjufellsfoss นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะถ่ายภาพน้ำตกแห่งนี้โดยมีฉากหลังเป็นภูเขา ในช่วงเที่ยงคืนจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อถ่ายภาพแสงสีพระอาทิตย์เที่ยงคืนอันงดงามน่าประทับใจ

  พักที่ Dis Cottage อพาร์ทเม้นท์ พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัวพร้อมห้องครัว ฟรี WiFi ( พัก 2 คืน )

iceand.jpg
DJI_0580-Pano Edit.jpg

14 กรกฎาคม 2567  วิทเซอเค่อร์ หินไดโนเสาร์ อะคูเรลริ บสถ์ Akureyrarkirkja

  หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางต่อไปยังแหลมวิทเซอเค่อร์ ดินแดนอันห่างไกลผู้คนทางตอนเหนือ มีภูมิทัศน์ที่งดงามแปลกตา จุดหมายหนี่งในไฮไลท์ของทริปนี้นั่นคือ วิทเซอเค่อร์ หินบะซอลต์ที่ตั้งซ้อนกันหลายชั้น โผล่ขึ้นมาจากทะเลสูง 15 เมตร ดูล้ายกับมังกรที่กำลังดื่มน้ำทะเล ซึ่งตำนานของประเทศไอซ์แลนด์เล่าว่า มีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหนีจากแสงพระอาทิตย์ในยามเช้าไม่ทัน จึงต้องคำสาปให้กลายเป็นหินหินรูปไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ หากน้ำทะเลลดลงเต็มที่จะเดินไปถึงก้อนหินรูปร่างประหลาดแห่งนี้ได้ แต่ยามที่น้ำทะเลขึ้น จะสวยงามด้วยเงาสะท้อนน้ำ

เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่ปั๊มน้ำมัน N1 บลอนดู

  บ่ายเดินทางกลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองอะคูเรลริ เมืองเล็กๆ แสนน่ารักทางภาคเหนือของไอซ์แลนด์ เป็นเมืองที่เงียบสงบ บ้านเรือนสวยงาม มีร้านค้าน่ารักๆ มากมาย ต่างกับเมืองหลวงเรคยาวิกค่อนข้างมาก และจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอันดับสองรองจากเรคยาวิก เที่ยวชมสัญลักษณ์ของเมืองนั่นคือโบสถ์ Akureyrarkirkja ตั้งอยู่บนเนินสูง ออกแบบโดยสถาปนิก Samuelsson ซึ่งเป็นคนออกแบบโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยาในเรคยาวิก สร้างตั้งแต่ปี 1940 ภายในมีออแกน 3,200 แท่ง และภาพวาดทางศาสนาคริสต์ที่สวยงามมากมาย

  ค่ำ อิสระเดินเที่ยวไปตามถนนคนเดิน Hafnarstraeti ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและนักท่องเที่ยว บ้านเรือนโดดเด่นด้วยสีสันฉูดฉาด เป็นฉากสำหรับถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี หรือจะเดินเล่นชมวิวทะเลก็ไม่เลว เนื่องจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่ติดริมฝั่งทะเล ( พระอาทิตย์ตกเที่ยงคืน )

พักที่ Hafdals Hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน, มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ) 

ICE_9489.jpg
ICELAND_PRASIT_17.jpg
14.jpg

15 กรกฎาคม 2567  Husavik - ล่องเรือชมวาฬ - อาลเอยาร์ฟอสส์ - โกดาฟอสส์

  เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นเวลา 07.30 เดินทางไปเมืองเล็กๆ ชื่อ Husavik ซึ่งทางตอนเหนือของอะคูเรลริ เป็นสถานที่ดูวาฬดีที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นทัวร์ดูวาฬเป็นแห่งแรกในไอซ์แลนด์  Whale Watching Hauganes หลังจากที่ใส่ชุดกันลมและกันอากาศที่หนาวเย็น เรือจะออกเดินทางออกสู่ปากอ่าวซึ่งมีฝูงวาฬวนเวียนหากินอยู่บริเวณนั้น อาทิ วาฬหลังค่อม และวาฬเพลรฆาต ใช้เวลาล่องเรือและถ่ายภาพวาฬประมาณ 3-4 ชั่วโมง เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจในทริปนี้

   เที่ยง อิสระอาหารกลางวันในตัวเมืองอะคูเรลริ   

   บ่าย เดินทางไปชมสองน้ำตกที่โด่งดังทางตอนเหนือนั่งคือ อาลเอยาร์ฟอสส์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกสวยงามที่สุดของไอซ์แลนด์ สูงราว 20 เมตร น้ำตกลงไปในทะเลสาบสีน้ำเงินที่สวยงาม หน้าผาซ้ายขวาเป็นเสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยมที่สวยงามอย่างน่าอัศจจย์ พบได้เพียงไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ โดยเสาทั้งหมดมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบและสมมาตรจนดูเหมือนแกะสลักด้วยมือ ซึ่งเกิดจากลาวาไหลลงมาตามหน้าผาระหว่างการปะทุเมื่อหลายศตวรรษก่อน ลาวาชั้นนอกซึ่งสัมผัสกับอากาศได้เย็นตัวลงจนกลายเป็นหินแข็งเร็วกว่าชั้นที่อยู่ด้านล่าง ทำให้ลาวาหดตัวเท่า ๆ กันบนพื้นผิวของมันเป็นเสาทรงกระบอก ซึ่งแตกออกเป็นโครงสร้างหกเหลี่ยมเนื่องจากระดับความดันที่แตกต่างกันในหิน

  จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตก โกดาฟอสส์ น้ำตกขนาดปานกลาง กว้างราว 30 เมตร มีปริมาณน้ำมาก หากมองแบบตามแสงจะเห็นรุ้งกินน้ำโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมกลางน้ำตกอย่างสวยงาม  

พักที่ Hafdals Hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน, มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ) 

15.jpg
DSC_8712.jpg
ICD_2870.jpg

16 กรกฎาคม 2567 ทะเลสาบมีวัทน์ - ปล่องภูเขาไฟเทียม - Raudanes Point - นกพัฟฟิน

  หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางออกจากเมืองอะคูเรลริ ไปชมทะเลสาบมีวัทน์ ซึ่งเกิดจากการประทุของลาวาภูเขาไฟขนาดยักษ์ราว 2,300 ปีก่อน เมื่อลาวาเย็นและแข็งตัวทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาดราวกับอยู่นอกโลกมนุษย์ รอบๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยปากปล่องภูเขาไฟเทียม  สำหรับทะเลสาบมายด์วัทน์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 37 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นถิ่นอาศัยของนกน้ำจำนวนมากและมีความสำคัญในฐานะแหล่งอนุรักษ์นกน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยมีการจัดตั้งพื้นที่ให้เป็นเขตอนุรักษ์นก สามารถเดินขึ้นไปชมบนปากปล่องได้ โดยมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่จัดทำอย่างดี 

  จุดหมายต่อไปคือ น้ำตกเดทตี้ฟอส์ส น้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม แวดล้อมด้วยแคนยอน ซึ่งมีลักษณะเป็นผาหินสูงชัน ตัวน้ำตกสูงราว 44 เมตร ปริมาณน้ำในหนึ่งวินาทีมีมากถึง 193 คิวบิกเมตร นับเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และมีปริมาณน้ำไหลรุนแรงมากที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่เห็นรุ้งกินน้ำได้ เนื่องจากมีละอองน้ำจำนวนมหาศาลลอยขึ้นมาจากสายน้ำที่ตกลงไปในหุบเขา   

  เส้นทางช่วงบ่ายจะมุ่งหน้าขึ้นไปจนถึงชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ในดินแดนที่ห่างไกลมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ เป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ ในพื้นที่แถบนี้คือแหล่งอาศัยทำรังวางไข่ของนกทะเลแถบขั้วโลกเหนือจำนวนมาก อาทิ นกพัฟฟินแสนน่ารัก และสิ่งที่โดดเด่นคือ Arctic Henge เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นจากหินขนาดมหึมา เริ่มขึ้นในปี 1996  เพื่อรำลึกถึงรากเหง้าของชาวนอร์ดิกของประเทศไอซ์แลนด์ ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากบทกวี Eddic Völuspá (คำทำนายของผู้ทำนาย) โดยได้รับแนวคิดเกี่ยวกับคนแคระ 72 คนซึ่งเป็นตัวแทนของฤดูกาลในโลกของบทกวี ก้อนหินจะเรียงเป็นบล็อกเล็กๆ 72 บล็อก แต่ละก้อนสลักชื่อคนแคระ ล้อมรอบอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่สี่แห่ง ดูเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมที่งดงามแปลกตา จัดวางให้สอดคล้องกับความเชื่อของชาวนอร์สโบราณ และในช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุยายนถึงกรกฏาคม จะสามารถชมและบันทึกภาพพระอาทิตย์เที่ยงคืน ผ่านเหลี่ยมมุมต่างๆ ของอนุสรณ์สถานได้อย่างสวยงามน่าอัศจรรย์ 

พักที่ Hotel Nordurljos

Arctic Henge.jpg
39.jpg

17 กรกฎาคม 2567  Raudanes Point  นกพัฟฟิน  บะซอลล์แคนยอน ภูเขาเวสทราฮอร์น

  หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางไปชม Raudanes Point จุดชมวิวชายฝั่งทะเลที่สวยงาม บางพื้นที่เต็มไปด้วยนกพัฟฟินที่พากันกลับเข้าฝั่งในฤดูร้อนเพื่อทำรังวางไข่ จำนวนนับล้านๆ ตัว สามารถชมและถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิด เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว 

  จากนั้นเดินทางไปชมบะซอลล์แคนยอน อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้ ชมแท่งหินบะซอลล์จำนวนนับพันเรียงรายเป็นหน้าผาแคบๆ สูงชัน มีธารน้ำสีเขียวไหลผ่าน จากลานจอดรถต้องเดินเท้าเข้าไปราว 2 กิโลเมตร จะพบเห็นภาพที่งดงามอย่างน่าอัศจรรย์

  เส้นทางต่อไปจะใช้ถนนหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าลงใต้ ถนนจะผ่านอุโมงค์ที่ลอดใต้ภูเขาไปทะลุสู่ภาคใต้ของไอซ์แลนด์ ภูมิทัศน์จะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากถนนที่ส่วนใหญ่อยู่บนภูเขา จะกลายเป็นถนนบนทางราบเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ยาวหลายร้อยกิโลเมตร 

  ช่วงเย็นเราจะไปถ่ายภาพกันที่ ภูเขาเวสทราฮอร์น เป็นหนึ่งในภูเขาที่ช่างภาพมืออาชีพต่างยกย่องให้เป็น ภูเขาสวยที่สุดในโลก ทั้งภูเขาเป็นหินลาวาอายุหลายสิบล้านปี ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมฝั่งทะเล มีหาดทรายดำสนิทอยู่เบื้องหน้า

  จากนั้นนำท่านเดินไปชมหมู่บ้านไวกิ้ง ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำภาพยนต์ Viking อันโด่งดัง โดยจำลองมาจากหมู่บ้านจริงในอดีต มีกำแพงสูงโดยรอบ

  พักที่ Hotel Jökull ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )

ICE_9796.jpg
ICE_1045.jpg
ice137.jpg
DSC_1463.jpg
ICE_2032.jpg
DSC_2259.jpg

18 กรกฎาคม 2567   สโนว์โมบิล ล่องเรือกลาเซียร์ลากูน ไดมอนด์บีซ  อุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล

   หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เปลี่ยนไปนั่งรถออฟโรดล้อโต 4x4 ขึ้นไปบนภูเขาสูงซึ่งยังคงมีน้ำแข็งและหิมะปกคลุม สนุกสนานไปกับกิจกรรมสโนว์โมบิล นั่งคันละ 2 ท่าน หากต้องการสามารถทดลองสลับกันขี่ได้ แต่ถ้าไม่สะดวกก็เลือกนั่งซ้อนอย่างเดียวก็ได้เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีเฉพาะฤดูร้อน เนื่องจากฤดูหนาวหิมะจะปิดเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาในแถบนี้ทั้่งหมด

เที่ยง อิสระอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร

  บ่าย เดินทางไปชม กลาเซียร์ ลากูน หรือก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่ที่ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบ มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เดินชมความงามของก้อนน้ำแข็งที่มีรูปทรงแปลกประหลาดไม่ซ้ำกัน สามารถเข้าไปชมและสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด จากนั้นนั่งเรือล่องไปตามลากูน ชื่นชมกับทิวทัศน์ของกลาเซียร์น้ำแข็ง และฟังบรรยายความเป็นมาของกลาเซียร์จากไกด์ท้องถิ่น ใช้เวลาเที่ยวชมประมาณ 30-40 นาที ถ่ายภาพก้อนน้ำแข็งยักษ์ในทะเลสาบกันอย่างจุใจ

  จากนั้นไปถ่ายภาพก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่แตกออกมาจากกลาเซียร์ ซึ่งจะลอยอยู่ในลากูน แล้วไหลออกสู่ทะเล ตามหาดทรายสีดำสนิทจะมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มากมายเรียงรายกันอยู่ เมื่อถูกคลื่นซัดจะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ใช้เวลานาน เนื่องจากน้ำในทะเลก็เย็นจัดพอๆ กับอุณหภูมิของก้อนน้ำแข็ง

  เย็น เดินทางไปชมและถ่ายภาพสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งอีกอย่างของไอซ์แลนด์ นั่นคือ ไอซ์แลนด์แกรนด์แคนยอน มีลักษณะเป็นหุบเหวลึก มองเห็นสายน้ำของลำธารที่อยู่ลึกลงไป สามารถถ่ายภาพได้ตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบนซึ่งทิวทัศน์งดงามคุ้มค่ากับการออกแรงเดินมากทีเดียว

พักที่โรงแรม skaftafell hotel ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )

28.jpg
iceland glacier.jpg
iceland-32.jpg
iceland-93.jpg
7.jpg
24.jpg

19 กรกฎาคม 2567   วัทนาโจกุล น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ สกาฟตาเฟลโจกุล

  เช้า เดินเทรลไปชมธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดในไอซ์แลนด์ชื่อ สกาฟตาเฟลโจกุล ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรจากที่ทำการอุทยาน เป็นกลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งที่สวยงามมากที่สุดของทริปนี้ เป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มาก กว้่างราว 1 กิโลเมตร และยาวประมาณ 8 กิโลเมตร สามารถชมและถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิด

   จากนั้นเดินทางไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล เตรียมตัวเดินเทรลขึ้นเขาไปชมน้ำตกสวาร์ติฟอสส์ หรือน้ำตกดำ หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงและสวยที่สุดในวัทนาโจกุล เป็นน้ำตกสูงชั้นเดียว ตกมาจากหน้าผาหินบะซอลล์สีดำสนิท ระหว่างเดินขึ้นจะได้เห็นทิวทัศน์ชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ได้อย่างชัดเจน 

  เย็น เที่ยวชมวิวของธารน้ำแข็งจากถนนหมายเลข 1 มีจุดชมวิวที่สวยงามหลายแห่ง มองเห็นวิวสวยงามแบบพาโนรามาได้รอบทิศ 360 องศา

พักที่โรงแรม Hotel Vík í Mýrdal ( พักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว ,ฟรี WiFi ในห้องพัก )

25.jpg
iceland-78.jpg
iceland-44.jpg
DSC_0873.jpg
ice234.jpg
DSC_0878.jpg

20 กรกฎาคม 2567   วัทนาโจกุล วิก แหลม Dyrholaey เรย์นิสฟยาร่า 

   เช้า เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 1 แวะชมโบสถ์หลังคาหญ้าที่มีเพียงหลังเดียวในไอซ์แลนด์ เป็นโบสถ์เก่าแก่อายุนับร้อยปี และยังใช้เป็นสถานประกอบพิธีทางศาสนามาจนถึงปัจจุบัน

   จากนั้นไปชมเรย์นิสฟยาร่า ชายหาดสีดำสริทใกล้เมืองวิค ที่นี่เต็มไปด้วยก้อนกรวดขนาดเล็กสีดำ ที่โดดเด่นคือ มีหินบะซอลต์เป็นแท่งทรง สี่เหลี่ยมจำนวนมากเรียกว่า "การ์ด้าร์ " มองดูแทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสถานที่แห่ง นี้ และมองออกไปในทะเลจะเห็นคลื่นลูกยักษ์ของมหาสมุทรแอตแลนติดเหนือโอบล้อมแท่งหินบะซอลต์ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางทะเลมีทั้งหมด 4 ยอด เรียกว่า เรย์นิสดรันก้าร์ ในช่วงเวลาที่เดินทางไป ตรงกับเวลาที่นกทะเลจำนวนมาก เช่น นกพัฟฟิน (Puffin) , นกทะเลปากยาว (guillemots) และนกฟูลม่าร์ (northern fulmars) หรือนกจมูกหลอด ทำรังวางไข่และเลื้ยงลูก ทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงนกจำนวนมากโบยบินไป บรรยากาศดูคึกคักมากทีเดียว

   จุดหมายต่อไปเที่ยวกันต่อที่จุดชมวิวเมืองวิก มองเห็นโบสถ์เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีฉากหลังคือเมืองวิค และหาดทรายดำเมืองวิก พร้อมทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ป่าสีเหลืองและดอกลูปินสีม่วงบานสะพรั่งเป็นฉากหน้าอย่างสวยงาม มองหามุมสวยๆ กันจนเต็มอิ่มแล้วออกเดินทางกันต่อ

เที่ยงอิสระอาหารกลางวันที่เมืองวิก

   จากนั้นแวะชมและเลือกซื้อสินค้านานาชนิดที่ร้านเอ้าท์เล็ทของ Icewear เสื้อผ้าแบรนด์ท้องถิ่นชื่อดังของไอซ์แลนด์ และยังมีสินค้าที่ระลึกต่างๆ อีกมากมาย 

   บ่าย เที่ยวชมหาดทรายดำแห่งเมืองวิก หาดทรายดำที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโลก ทรายดำสนิทระยะทางยาวหลายกิโลเมตร จากนั้นเดินทางไปเที่ยวชมแหลม Dyrholaey ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหน้าผาสูงชันกว่า 120 เมตร มองเห็นหาดทรายดำยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับชมฝูงนกพัฟฟินและนกทะเลจำนวนมากสร้างรังวางไข่ตามริมหน้าผา และยังมีทิวทัศน์ที่สวยงามจากมุมสูงของหาดทรายดำตัดกับทะเลสีครามของมหาสมุทรใต้อันกว้างใหญ่

พักที่ Hótel Kríaพักห้องละ 2 ท่าน มีห้องน้ำในตัว , ฟรี WiFi ในห้องพัก )

DSC_2374.jpg
DJI_0415.jpg
image_6483441-16.JPG
C91U0988.jpg

21 กรกฎาคม 2567  ซากเครื่องบิน DC-3 น้ำตกซัลยาลันฟอสส์ น้ำตกสโคกาฟอส์ส ปล่องภูเขาไฟเเคิร์ธ

   เช้า ชมซาเครื่องบิน DC-3 ที่หาดทรายดำ ประวัติความเป็นมาย้อยหลังไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 1973 เครื่องบิน Douglas R4D-8 Super DC-3 ชนิดสองเครื่องยนต์ ได้บินผ่านเมืองเฮิฟ์น แต่เครื่องขัดข้องต้องร่อนลงฉุกเฉินที่หาดทรายดำโซลเฮมาซานตุร์ ผู้โดยสารทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กองทัพได้ทิ้งเครื่องบินลำนี้ไว้ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ แรกๆ ต้องเดินไปกลับราวสองชั่วโมง แต่ปัจจุบันมีรถรับส่ง จากถนนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงซากเครื่องบิน

  จากนั้นเดินทางไปชมน้ำตกซัลยาลันฟอสส์ หนึ่งในน้ำตกสวยที่สุดของไอซ์แลนด์​ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ มีทิวทัศน์แวดล้อมที่สวยงาม ที่พิเศษคือ มีทางเดินเล็กที่สามารถเดินไปหลังม่านน้ำตกได้ เมื่อ มองย้อนออกมาจะเห็นผาหินโค้งเป็นรูปวงกลม เป็นมุมมองที่เรียกได้ว่า สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไอซ์แลนด์เลยทีเดียว 

   น้ำตกสโคกาฟอส์ส ส่วนหนึ่งของเทือกเขา Eyjafjöll ตัวน้ำตกมีขนาดใหญ่ สูงถึง 61 เมตร เป็นน้ำตกที่ชั้นสูงที่สุดในไอซ์เเลนด์ ปริมาณน้ำจำนวน มหาศาลที่ถาโถมลงมาทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องตะลึงถึงความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกแห่งนี้ ภาพจำนวนนับล้านๆ ภาพ และวิดีโอ ภาพยนตร์ จำนวนมากถูกถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลก ทำให้แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายมุม มองตั้งแต่ระยะไกล ไปจนถึงตีนน้ำตก และสามารถเดินไปตามเส้นทางเดินที่จัดทำไว้อย่างดีจนถึงด้านบนสุดเพื่อบันทึกภาพมุมสูง

   จากนั้นชมพิพิธภัณฑ์สโคกา รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวไอซ์แลนด์ ยานพาหนะต่างๆ ตั้งแต่ยุคไวกิ้งจนถึงยุคที่มีการตัดถนนหมายเลข 1 วนรอบประเทศ และยังมีส่วนกลางแจ้ง แสดงบ้านเรือนหลังคาหญ้าแบบโบราณ สามารถเข้าไปชมภายในได้ รวมทั้งฟาร์ม โบสถ์ และโรงเรียน

   บ่าย ชมปากปล่องภูเขาไฟเเคิร์ธ ปากปล่องมีความลึก 55 เมตร กว้าง 270 เมตร มีอายุกว่า 3000 ปี สามารถ เดินขึ้นไปบนปากปล่องด้านบนได้ในระยะทางสั้นๆ เพียง 5 นาทีจากลานจอดรถ ถ่ายภาพทิวทัศน์อันน่ามหัศจรรย์ สามารถเดินเล่นรอบปากปล่องภูเขาไฟเป็นวงกลมได้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และมีสะพานเดินลงไปชมทะเลสาบในปล่องทางด้านล่างได้อย่างใกล้ชิด น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าสดใสสวยงามมาก

พักที่โรงแรม  Borealis hotel หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )

ICE_1985.jpg
32.jpg
DSC_1997.jpg

22 กรกฎาคม 2567   ซิงเควลลิร์ วงแหวนทองคำ น้ำพุร้อนกีเซอร์ น้ำตกกุลฟอสส์

  เช้า เดินทางไปสถานที่สําคัญในประวติศาสตร์ ของไอซ์แลนด์ ซิงเควลลิร์ มาจากภาษาไอซ์แลนด์ Þing แปลว่า สภา vellir แปลว่า ทุ่งหญ้า เมื่อรวมกันหมายถึงสภาที่ตั้งขึ้นในที่โล่งเป็นลานประชุมของชุมชนไอซ์แลนด์ในยุคแรก ๆ  สถานที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์ โดยรัฐสภาหรือ อัลชิงกิ ได้ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.930  และต่อเนื่องมาจนถึง ปี ค.ศ.1789   ซิงเควลลิร์ ตั้งอยู่ตรงรอยรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาปซึ่งเป็นทะเลสาปตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นจุดกำเนิดทางด้านประวัติศาสตร์ และทางด้านธรณีวิทยา เพราะเป็นส่วนหนึ่งของรอยเลื่อนโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร แบ่งแยกแผ่นเปลือกโลกทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป  ซิงเควลลิร์ยังเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์  นอกจากนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2004

  จากนั้นเดินทางไปชม น้ำพุร้อนกีเซอร์ น้ำพุร้อนที่ปล่อยกระแสน้ำร่วมกับไอน้ำออกมาเป็นระยะๆ ประมาณ 10-15 นาทีต่อครั้ง บางครั้งก็พ่นน้ำร้อนสูงมากถึง 40 เมตรเหมือนการ ระเบิดของไอน้ำ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าที่ง การเกิดของไกเซอร์ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะทางอุธกธรณีวิทยา ซึ่งสามารถพบได้เพียงไม่กี่แห่ง ในโลก จัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมมชาติที่หาดูได้ยากชนิดหนึ่ง

  บ่าย เดินทางไปชมน้ำตกกุลฟอสส์ มาจากคำว่า Gull  ในภาษาไอซ์แลนด์ที่แปลว่าทอง  และ Foss ที่แปลว่า น้ำตก จัดเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ ลดหลั่นเป็นชั้นๆ รวม 3 ชั้น ช่วงแรกสูง 11 เมตร และช่วงที่สองสูง 21 เมตร ความแรงของน้ำอยู่ที่  140 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถเที่ยวชมได้อย่างใกล้ชิดโดยมีทางเดินเลียบน้ำตก แต่ละอองน้ำจำนวนมหาศาล ควรมีเสื้อกันฝนหากต้องการเดินเข้าไปใกล้น้ำตก

  เย็นวันนี้จะเดินทางไปตามถนนลูกรัง off road สาย F35 เข้าสู่ใจกลางประเทศ เที่ยวชมภูมิประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่เหมือนที่อื่นใดในไอซ์แลนด์ หินและดินส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองทอง เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่มีควันพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีหิมะที่ยังละลายไม่หมดตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ทำให้ภูมิทัศน์ดูสวยงามแปลกตามากทีเดียว

พักที่โรงแรม Gullfoss หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )

ICE_3342.jpg
ICE_8774.jpg
DJI_0622.jpg
DSC_5909.jpg
ICELAND_PRASIT_14.jpg

23 กรกฎาคม 2567   บลูลากูน ทะเลสาบเคลย์ฟาร์วาท์น Fagradalsfjall Volcano  

   หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เดินเท้าชมน้ำตกสีฟ้าชื่อดังสุดมหัศจรรย์ชื่อ น้ำตกปรูอาร์ฟอสส์ มีจุดเริ่มต้นเดินจากริมถนนใหญ่ เป็นทางเดินเลียบลำธาร ระยะทางเดินไปกลับประมาณ 4 กิโลเมตร แม้ว่าเส้นทางจะยาวไกล แต่ภาพของน้ำตกที่งดงามจะสร้างความประทับใจไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว

   เที่ยง อิสระอาหารกลางวันและช้อปปิ้งย่านใจกลางเมืองเรคยาวิก

   เย็นเดินทางไป บลูลากูน สปาน้ำร้อนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก หากไม่ได้มาบลู ลากูน เท่ากับว่ายังมาไม่ถึงไอซ์แลนด์ บลู ลากูนอยู่ในแอ่งลาวาห่างจากสนามบินนานาชาติเรคยาวิกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งแอ่งน้ำร้อนหรือลากูนเป็นผลพลอยได้จากเครื่องกังหันผลิตกระแสไฟฟ้าที่อยู่ติดกัน  โดยใช้พลังงานไอน้ำร้อนจากใต้ดินมาปั่นกระแสไฟฟ้า น้ำร้อนที่ผ่านการผลิตกระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสู่ทะเลสาบโดยอุณหภูมิจะลดลงกลายเป็นน้ำอุ่นที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเชื่อว่าสามารถรักษาโรคผิวหนังได้ โดยอุณหภูมิของน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส มีระบบการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม กำหนดให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ต้องการลงไปแช่น้ำร้อนต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยก่อนลงแช่น้ำร้อน ภายในมีร้านอาหาร เครื่องดื่มและร้านขายสินค้านานาชนิด เปิดให้บริการตลอดทั้งปี

พักที่โรงแรม Aurora Hotel หรือเทียบเท่า ( พักห้องละ 2 ท่าน, ห้องน้ำในตัว, ฟรี WiFi ในห้องพัก )

24 กรกฎาคม 2567   เรกยาวิก-สตอกโฮล์ม

   เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
05.00 เช็กอินที่สนามบิน

07.35 ออกเดินทางโดยสายการบินไอซ์แลนด์แอร์ ( เที่ยวบินอาจเปลี่ยนแปลงได้ )

12.45 ถึงสนามบินสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

13.50 ออกเดินทางต่อโดยการบินไทย ( เที่ยวบินอาจเปลี่ยนแปลงได้ )

25 กรกฎาคม 2567   กรุงเทพฯ

05.45 เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมภาพประทับใจที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน

bottom of page